วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

16 : 9 & 4 : 3

  ปัจจุบันระบบโฮมเธียเตอร์ที่มีคุณภาพควรจะใช้โปรเจคเตอร์แบบ 16:9 และจอรับภาพก็ควรจะเป็นจอแบบ 16:9 ด้วยเช่นกัน  แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนและยอมรับจากผู้คนส่วนใหญ่  จอพลาสม่า  จอแอลซีดีแฟลทสกรีนหรือทีวีที่ได้มีการผลิตออกมารุ่นใหม่ก็ล้วนแล้วแต่ถูก ผลิตออกมาด้วยอัตราส่วนแบบ 16:9  แต่ถึงแม้ว่าอัตราส่วนแบบ 16:9 จะกลายเป็นอัตราส่วนที่เป็นมาตรฐานสากลไปแล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอัตรา ส่วนนี้จะเหมาะสมสำหรับทุกๆคนเสมอไป  ยังมีอัตราส่วนภาพอื่นที่จำเป็นจะต้องพิจารณาโดยไม่สามารถมองข้ามไปได้อธิ เช่นอัตราส่วนแบบ 4:3 และอัตราส่วนแบบไวด์สกรีน 2.35:1  การจะมองว่าอัตราส่วนภาพแบบใดเป็นอัตราส่วนภาพที่เหมาะและสมดีที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคนว่าต้องการที่จะให้ระบบโฮมเธียเตอร์ออกมา ในรูปแบบใด

        สำหรับบางคนที่ยังใหม่กับเรื่องอัตราส่วนภาพเมื่อเราพูดถึงอัตรา ส่วนแบบ 4:3 หรือ 16:9 หรือ 2.35:1  นั่นหมายถึงเรากำลังพูดถึงรูปทรงของขนาดภาพบนจอภาพที่เราเห็นจากภาพยนตร์ หรือวีดีโอดีวีดีซึ่งขนาดภาพนี้เรียกว่า “ Aspect Ratio “  เครื่องรับโทรทัศตามบ้านที่เราใช้กันหลายสิบปีก่อนมีอัตราส่วนภาพ (Aspect Ratio) 4:3 นั่นหมายความว่าภาพที่เราเห็นจะมีขนาดกว้าง 4 ส่วนและสูง 3 ส่วน  เช่นกันในทีวีรุ่นใหม่ HDTV ซึ่งมีอัตราส่วนภาพเป็น 16:9 ก็จะมีอัตราส่วนความกว้าง 16 ส่วนและสูง 9 ส่วน  ดังนั้นเราจึงเห็น HDTV มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าในแนวนอนโดยความยาวตามแนวนอนของ HDTV จะมากกว่าทีวีแบบธรรมดาที่เราใช้กันอยู่

        ปัญหาก็คือไม่ว่าจะเป็นทีวีหรือโปรเจคเตอร์ล้วนแล้วแต่มาพร้อมกับ อัตราส่วนภาพเฉพาะที่ไม่เป็นอัตราส่วนภาพแบบ 4:3 ก็จะเป็นอัตราส่วนภาพแบบ 16:9 อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น   ภาพยนตร์หรือวีดีโอดีวีดีที่มีจำหน่ายในท้องตลาดก็จะทำมาด้วยอัตราส่วนภาพ (Aspect Ratio)หลายๆขนาดต่างกันออกไป  รายการโทรทัศน์หรือภาพยนตร์วีดีโอที่มีการผลิตมาสำหรับโทรทัศน์ปรกติก็จะ ผลิตออกมาในอัตราส่วนภาพแบบ 4:3 ซึ่งบางทีจะบอกเป็น “ 1.33 “ (4 หารด้วย 3 = 1.33) และรายการต่างๆหรือภาพยนตร์ที่ผลิตมาสำหรับโทรทัศน์รุ่นใหม่ HDTV ก็จะผลิตออกเป็นอัตราส่วน 16:9 ซึ่งบางทีก็จะบอกเป็น “ 1.78 “ (16 หารด้วย 9 = 1.78)  อย่างไรก็ตามไม่ใช่มีเพียงแค่สองระบบนี้เท่านั้นแต่ยังมีระบบอัตราส่วนภาพ ต่างๆที่ถูกผลิตขึ้นมาอีกมากมาย  ภาพยนตร์  มิวสิกวีดีโอ สื่อมัลติมีเดียอื่นๆที่บรรจุอยู่ในแผ่นดีวีดีล้วนมาพร้อมกับอัตราส่วนที่ หลากหลายเช่น 1.33 , 1.78 , 1.85 , 2.00 , 2.35 , 2.4 , 2.5 และอีกมาก  ดังนั้นไม่ว่าจะใช้จอภาพแบบใด 4:3 , 16:9 หรือ 2.35 ก็จะไม่สามารถทำให้ได้ภาพที่เหมาะสมได้อยู่ดี

        โดยส่วนมากเรามักจะเลือกใช้จอภาพแบบ 16:9 อันเนื่องมาจากจอภาพอัตราส่วนแบบนี้สามารถรองรับอัตราส่วนของภาพยนตร์ได้ดี โดยพบปัญหาขอบดำที่เกิดกับจอภาพค่อนข้างน้อย  แต่ในบางกรณีก็อาจมีความเหมาะสมในการที่จะเลือกฉายภาพด้วยอัตราส่วนภาพแบบ 4:3 หรือ 2.35:1 ก็ได้เช่นกันซึ่งแต่ละอัตราส่วนก็จะมีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันออกไป

จอภาพแบบ 16:9
ถ้าการรับชมภาพแบบ HDTV หรือ DVD Widescreen เป็นการชมภาพตามปรกติที่ใช้อยู่บ่อยๆแล้วละก็  การใช้โปรเจคเตอร์แบบ 16:9 และจอรับภาพแบบ 16:9 ก็คือส่วนประกอบที่ดีที่สุดแล้วในการรับชมภาพแบบ HDTV หรือ Widescreen เนื่องจากภาพที่ผลิตสำหรับ HDTV หรือ DVD Widescreen ส่วนใหญ่จะมาด้วยอัตราส่วนภาพแบบ 16:9 ซึ่งพอเหมาะพอดีกับจอรับภาพแบบ 16:9 ได้อย่างพอเหมาะ
การฉายภาพอัตราส่วนแบบ 2.35:1 บนจอรับภาพที่มีอัตราส่วนแบบ 16:9 
                    อย่างไรก็ตามควรคิดไว้เสมอว่าเมื่อภาพยนตร์ต่างๆถูกนำมาทำเป็นดีวี ดีก็จะมีเรื่องของอัตราส่วนขนาดภาพเข้ามาเกี่ยวข้องให้ต้องพิจารณา  มีภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่มีขนาดภาพกว้างกว่า 16:9 แบบปรกติเช่น The lord of the Rings , American Beauty , Star wars/Phantom Menace , Seabiscuit ทั้งหมดมาพร้อมกับอัตราส่วน 2.35:1 ไม่ใช่ 1.78:1 ดังนั้นเมื่อรับชมภาพยนตร์เหล่านี้ด้วยจอ 16:9 ก็จะได้ขอบดำที่ด้านบนและด้านล่างของจอภาพเพิ่มขึ้นมาโดยขอบดำที่เกิดขึ้น นี้จะมีขนาดประมาณ 12 % ของความสูงของภาพ  ขอบดำที่เกิดขึ้นนี้ถึงแม้จะไม่ใหญ่มากนักเมื่อเทียบกับการใช้จอภาพแบบ 4:3 แต่ก็ยังเป็นขอบดำให้เห็นอยู่ดี

        การที่จะมองเห็นขอบดำนี้ได้ชัดเจนเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถ ในการแสดงสีดำหรือส่วนที่มืดของโปรเจคเตอร์ว่าสามารถแสดงได้เข้มมากเท่าใด และจอรับภาพที่ใช้ผลิตด้วยวัสดุชนิดใด  จอรับภาพสีขาวปรกติจะทำให้ขอบดำสามารถมองเห็นได้ง่าย  จอรับภาพชนิด High Contrast Gray Screen จะทำให้ขอบดำส่วนเกินนี้แลดูเข้มขึ้น  ด้วยจอภาพชนิดนี้และโปรเจคเตอร์ที่มีค่าคอนทราสสูงๆจะทำให้ขอบส่วนเกินนี้ ไม่เป็นที่สังเกตเห็นได้เด่นชัดนักตามที่มันควรจะเป็น

        อย่างไรก็ตามถ้าต้องการความสมบูรณ์แบบโดยที่เรื่องเงินก็ไม่เป็น ปัญญาแล้วละก็  น่าจะพิจารณาอุปกรณ์อีเล็กโทรนิคพิเศษซึ่งจะคลุมจอภาพตามแนวนอนเมื่อฉาย ภาพยนตร์ที่มีขนาดกว้างกว่า 16:9 ปรกติ  โดยอุปกรณ์นี้มีลักษณะเป็นแผ่นวัสดุสีดำซึ่งสามารถเปิดหรือปิดขอบด้านบนและ ด้านล่างของจอภาพเพื่อเปลี่ยนขนาดของพื้นที่การมองภาพบนจอภาพได้  อุปกรณ์นี้ใช้เพื่อสร้างกรอบสีดำรอบๆภาพไม่ว่าภาพยนตร์ที่รับชมจะมีอัตรา ส่วนแบบใดและจะพบว่าคุณภาพของภาพที่ได้โดยรวมจะดีขึ้นเมื่อมีการใช้กรอบสีดำ รอบๆภาพ  การใช้อุปกรณ์อีเล็กโทรนิคคลุมจอรับภาพถือว่าเป็นแนวคิดหนึ่งแต่ก็คงมีไม่ กี่คนหรอกที่ต้องการจะจ่ายเงินเพื่อเพิ่มอุปกรณ์สำหรับคลุมจอแบบนี้  และด้วยจอภาพและโปรเจคเตอร์ที่มีคอนทราสสูงๆแล้วขอบดำก็จะไม่ปรากฏให้เห็น เด่นชัดนัก

การฉายภาพอัตราส่วนแบบ 4:3 บนจอรับภาพที่มีอัตราส่วนแบบ 16:9 
               
        มีสื่อบันเทิงต่างๆที่ถูกผลิตออกมาด้วยอัตราส่วนภาพแบบ 4:3 เช่นรายการโทรทัศน์ปรกติหรือ  ภาพยนตร์วีดีโอ  ฟิล์มภาพยนตร์ที่ฉายตามโรงภาพยนตร์ในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 อย่างภาพยนตร์เรื่อง Casablanca , The Maltese Falcon , Mutiny on the Bounty , Citizen Kane , Wizard of Oz , Gone with the Wind , Fantasia และภาพยนตร์อื่นๆอีกหลายเรื่อง  หลากหลายสื่อบันเทิงที่น่าสนใจอธิเช่นชุดสารคดีซึ่งผลิตโดย Ken Burn ชุด Civil War และชุดสารคดีชีวประวัติของ Mark Twain ถูกผลิตออกมาด้วยอัตราส่วน 4:3  ชุดรายการโทรทัศน์เก่าๆที่ออกจำหน่ายในรูปดีวีดีหลายเรื่องจาก I Love Lucy และ The Andy Griffith Show to Northern Exposure หรือซี่รี่ส์ฮิตเรื่อง Friends ล้วนแล้วแต่มาด้วยอัตราส่วน 4:3  แล้วทีนี้เราจะฉายภาพเหล่านี้กับระบบโฮมเธียเตอร์ของเราอย่างไรดี

        ด้วยโปรเจคเตอร์ 16:9 ทางเลือกแรกก็คือฉายภาพอัตราส่าน 4:3 ตามปรกติไปบนจอภาพซึ่งก็จะปรากฏขอบดำขึ้นที่ด้านข้างทั้งสองข้างของภาพ  พื้นที่ระห่วงขอบของภาพและขอบของจอรับภาพที่เกิดขอบดำขึ้นนี้เรียกว่า Pillarboxing

                                    -----------------------------------------
            อีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ค่อยน่าสนใจนักคือการใช้คุณสมบัติยืดขนาดภาพที่มีมา กับโปรเจคเตอร์ (Expand) ซึ่งก็จะทำการยืดภาพแบบ 4:3 ออกตามแนวนอนเพื่อให้พอดีกับขนาดของจอภาพแบบ 16:9  ด้วยการใช้การยืดขยายภาพแบบนี้จะทำให้ภาพยืดออกตามแนวนอน  ภาพคนหรือวัตถุก็จะแลดูเตี้ยลงและอ้วนขึ้นผิดปรกติ  จริงอยู่ที่ภาพที่ปรากฏบนจอรับภาพจะพอเหมาะพอดีกับจอภาพแบบ 16:9 แต่ก็ทำให้รูปร่างของวัตถุผิดเพี้ยนไปซึ่งทำให้หลายๆคนก็รับไม่ได้เช่นกัน

                                    ---------------------------------------------
            ทางเลือกที่สามเป็นคุณสมบัติที่มีมากับโปรเจคเตอร์ 16:9 ส่วนใหญ่ซึ่งก็คือการใช้คุณสมบัติการขยายภาพ (Zoom) แทนการยืดขนาดภาพ  โดยเมื่อได้ขยายขนาดภาพ (Zoom) แล้วก็จะทำการตัดส่วนเกินที่ด้านบนและด้านล่างของภาพออก  และฉายภาพบริเวณตรงกลางให้พอดีกับจอภาพแบบ 16:9  เมื่อพิจารณาที่ภาพจะเห็นว่าภาพบางส่วน  ส่วนบน (หมวก) แสะส่วนล่าง (ตัวเลข 5) จะหายไปอย่างชัดเจนดังนั้นจึงไม่ควรเลือกใช้วิธีการนี้ยกเว้นเสียแต่ว่ามี ความจำเป็นจริงๆ                          
           

                                    ----------------------------------------------

        โปรเจคเตอร์ 16:9 และ HDTV หลายรุ่นมาพร้อมกับคุณสมบัติในการฉายภาพ 4:3 ให้พอเหมาะพอดีกับจอรับภาพแบบ 16:9 ได้โดยทำให้เกิดความผิดเพี้ยนของภาพน้อยที่สุด  วิธีการคือในการฉายภาพก็จะคงภาพ 4:3 บริเวณตรงกลางภาพเอาไว้ตามปรกติในขณะเดียวกันก็จะทำการยืดส่วนของภาพด้าน ข้างให้พอดีกับจอรับภาพแบบ 16:9  วิธีการนี้บางทีน่าจะเป็นวิธีที่น่าพอใจที่สุดในการฉายภาพให้พอดีกับจอรับ ภาพและยังใช้ได้ดีกับสัญญาณโทรทัศน์และสัญญาณเคเบิ้ลทีวีอีกด้วย  เนื่องจากบริเวณริมๆขอบของภาพมักจะไม่ค่อยมีรายละเอียดที่สำคัญมากเท่าส่วน ของภาพบริเวณตรงกลางภาพดังนั้นการยืดบริเวณริมขอบภาพจึงค่อนข้างที่จะเป็น ที่ยอมรับได้  อย่างไรก็ตามในมุมมองของนักชมภาพยนตร์การฉายภาพบริเวณตรงกลางภาพบนจอแบบ 16:9 โดยมีขอบดำด้านข้างเป็นวิธีเดียวที่จะรับชมภาพในแบบที่ผู้สร้างภาพยนตร์ได้ สร้างสรรค์ภาพเหล่านั้นขึ้นมา

                                    ------------------------------------------------------
            จอภาพแบบ 16:9 เหมาะกับสัญญาณภาพ HDTV และภาพยนตร์แบบไวด์สกรีน โดยมันจะมีขอบดำที่ด้านบนและด้านล่างของภาพปรากฏให้เห็นก็ต่อเมื่อภาพยนตร์ ที่นำมาฉายนั้นมีอัตราส่วนความกว้างมากกว่า 16:9 และต้องทำความเข้าใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อฉายภาพแบบ 4:3  สำหรับผู้ที่หลงใหลในโฮมเธียเตอร์แล้วภาพที่ได้จากจอภาพไวด์สกรีน 16:9 เมื่อฉายด้วยภาพแบบ 4:3 เป็นผลที่ยากต่อการยอมรับได้  ดังนั้นถ้ามีแนวโน้มว่าจะต้องฉายภาพแบบ 4:3 เป็นส่วนใหญ่ก็ควรจะเลือกเป็นจอภาพอัตราส่วนแบบ 4:3   
จอภาพแบบ 4:3
        การเลือกใช้โปรเจคเตอร์ที่ฉายภาพแบบ 4:3 กับจอภาพที่มีอัตราส่วน 4:3 อาจจะฟังดูโบราณอยู่สักหน่อยในขณะที่อัตราส่วน 16:9 กำลังได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน  แต่ก็ยังมีหลายเหตุผลที่ควรจะเลือกใช้จอภาพ 4:3  อย่างแรกก็คือเราจะได้ภาพที่สมบูรณ์เต็มจอภาพเมื่อฉายภาพจากภาพยนตร์เก่าๆ ที่มาด้วยอัตราส่วน 4:3  ผลที่ได้จากการรับชมภาพแบบเต็มจอด้วยจอภาพ 4:3 ค่อนข้างที่จะเร้าใจมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการรับชมภาพขนาดที่เล็กกว่า และแสดงภาพได้แค่บริเวณตรงกลางจอภาพเมื่อใช้จอภาพ 16:9

        ย้อนกลับไปในยุคปี ค.ศ.1953 จอภาพในโรงภาพยนตร์ล้วนเป็น 4:3  โทรทัศน์นำเอาอัตราส่วน 4:3 มาใช้เพื่อให้เหมาะสมกับอัตราส่วนของฟิล์มภาพยนตร์ในขณะนั้น  ในช่วงนี้ฮอลลีวู๊ดเริ่มหันมาผลิตภาพยนตร์ในแบบไวด์สกรีนเพื่อแข่งขันกับการ แพร่ภาพของโทรทัศน์  ดังนั้นสำหรับคนที่ต้องการสัมผัสกับภาพยนตร์คลาสสิกเก่าๆในแบบที่มันเคยถูก ฉายให้ชมในโรงภาพยนตร์ก็ควรจะเลือกใช้เป็นจอภาพ 4:3  ข้อดีของจอภาพแบบ 4:3 คือไม่ว่าจะฉายภาพด้วยอัตราส่วนแบบใดจอภาพ 4:3 ก็สามารถแสดงภาพได้ด้วยขนาดใหญ่ 
โปรเจคเตอร์สำหรับใช้กับจอภาพ 4:3
            ในการฉายภาพ 4:3 ขนาดใหญ่โปรเจคเตอร์ที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นโปรเจคเตอร์ 4:3 หรือโปรเจคเตอร์ 16:9   ควรจะมีอัตราการขยายภาพ (Zoom) อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1.3X และยิ่งโปรเจคเตอร์มีความละเอียดมากก็ยิ่งดี  โปรเจคเตอร์ความละเอียด SXGA+ (1400 x 1050) กับจอภาพ 4:3 ในการฉายภาพยนตร์แบบ 16:9 หรือ 2.35:1 ก็สามารถให้ภาพได้ขนาดใหญ่และมีขอบดำที่บริเวณด้านบนและด้านล่างของจอภาพ  เมื่อฉายภาพยนตร์แบบ16:9 โปรเจคเตอร์จะฉายภาพด้วยความละเอียด (1400 x 787) ซึ่งมากกว่าความละเอียดที่โปรเจคเตอร์ 720p สามารถฉายได้แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับ 1080p โปรเจคเตอร์

        โปรเจคเตอร์ 1080p ให้ความละเอียดภาพสูงปัจจุบันโปรเจคเตอร์ 1080p หลายรุ่นมาพร้อมกับระบบ Powered Zoom 1.3X โปรเจคเตอร์ชนิดนี้สามารถปรับขยายภาพ 4:3 ให้พอดีกับจอภาพ 4:3 และเมื่อฉายภาพ 16:9 หรือ 4:3 ก็สามารถปรับขยายภาพจนกระทั่งภาพที่ได้พอดีกับจอภาพด้านข้าง

        ข้อดีของการใช้โปรเจคเตอร์ 1080p คือสามารถให้ความละเอียดภาพได้สูงสุดและโปรเจคเตอร์ 1080p รุ่นใหม่ส่วนมากจะมาด้วยคอนทราสที่สูงโดยมีคอนทราสสูงกว่าโปรเจคเตอร์ SXGA ที่มีราคาใกล้เคียงกัน
จอภาพ 2.35
                ภาพยนตร์ในปัจจุบันส่วนใหญ่มาด้วยอัตราส่วนกว้างกว่า 16:9 และมีบางส่วนที่ถูกผลิตขึ้นในอัตราส่วน 2.35:1 มีผู้ชมบางกลุ่มเหมือนกันที่เลือกใช้จอภาพแบบ 2.35 ด้วยจอภาพแบบนี้ภาพยนตร์แบบ 2.35 จะสามารถฉายได้เต็มจอภาพโดยไม่มีขอบดำให้เห็น นั่นหมายความว่าภาพยนตร์แบบ 16:9 และ 4:3 จะถูกฉายในลักษณะมีขอบดำ Pillarboxing บนจอภาพ 2.35

        เมื่อใช้จอภาพแบบ 16:9 ความสูงและความกว้างของภาพสามารถเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอัตราส่วน ของภาพยนตร์ที่นำมาฉาย  เมื่อใช้จอภาพแบบ 4:3 จะได้ภาพที่มีความกว้างที่แน่นอนไม่ว่าจะฉายภาพยนตร์แบบใดโดยมีเพียงส่วนสูง ของภาพเท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงไปซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของภาพยนตร์ ที่ใช้ฉาย  ในทางกลับกันเมื่อใช้จอภาพแบบ 2.35 ก็จะเป็นส่วนสูงของภาพที่คงที่และมีด้านกว้างของภาพที่เปลี่ยนแปลงตามอัตรา ส่วนภาพ 

        ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับอัตราส่วนภาพบนจอภาพแบบ 2.35 สามารถจัดการได้ด้วยการใช้โปรเจคเตอร์ที่มีระบบขยายภาพ (Zoom Lens) ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นหรือโดยการใช้เลนส์เสริมพิเศษ (Anamorphic Lens)
สรุป    
        จะเห็นได้ว่ามีมากมายหลากหลายวิธีให้เลือกในการติดตั้งระบบโฮมเธีย เตอร์  หลานคนเลือกใช้จอภาพแบบ 16:9 เนื่องจากมีความเป็นอเนกประสงค์เมื่อใช้งานกับโฮมเธียเตอร์แต่ก็มีเหตุผลดีๆ อีกหลายเหตุผลที่สมควรจะเลือกใช้จอภาพแบบ 4:3 และ 2.35  ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการเลือกจอภาพให้เหมาะสมกับการใช้งานของตนเองมาก ที่สุด  อย่างไรก็ตามควรพิจารณาให้ดีเสียก่อนว่าต้องการที่จะฉายภาพแบบใด (ภาพยนตร์แบบ 2.35  ภาพยนตร์แบบ 16:9 HDTV  ภาพยนตร์เก่าๆและสื่ออื่นที่มาในรูปแบบ 4:3) จะช่วยให้ได้รับความบันเทิงกับการชมภาพยนตร์ในระยะยาวได้อย่างคุ้มค่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น