เทคโนโลยีที่แตกต่าง
LCD (Liquid Crystal Display)
โปรเจคเตอร์ระบบนี้ถูกบรรจุด้วยแผ่นกระจก LCD สามแผ่นซึ่งแต่ละแผ่นจะมีสี
แดง เขียว น้ำเงิน ในขณะที่แสงผ่านแผ่น LCD แต่ละ Pixel ของแผ่น LCD
จะทำหน้าที่ในการอนุญาตให้แสงผ่านหรือปิดกั้นไม่ให้แสงผ่าน Pixel
เล็กๆเหล่านี้ก็เป็นเหมือนมู่ลี่นั่นเอง
การทำงานลักษณะนี้ทำให้เกิดเป็นภาพขึ้นมา
DLP (Digital Light Processing)
เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Texas Instruments
ซึ่งมีการทำงานที่แตกต่างไปจาก LCD แทนที่จะใช้แผ่นกระจก LCD ระบบ DLP
ใช้ chip ที่ทำจากกระจกเล็กๆจำนวนมากในการสะท้อนแสง
กระจกแต่ละแผ่นเปรียบเสมือน Pixel หนึ่ง Pixel
แสงจากหลอดภาพของโปรเจคเตอร์จะถูกส่งไปที่ผิวหน้าของ chip DLP
กระจกเล็กๆจะเปลี่ยนทิศทางไปมาเพื่อส่องแสงไปที่เลนส์และส่งแสงที่ไม่ต้อง
การไปที่ตัวดูดซับแสง ใน DLP โปรเจคเตอร์ระดับสูงได้มีการใช้ chip DLP
ถึงสาม chip สำหรับสี แดง เขียว น้ำเงิน
อย่างไรก็ดีโปรเจคเตอร์ที่มีราคาไม่สูงส่วนใหญ่มีเพียง chip เดียว
ในการกำหนดสีจะใช้วงล้อที่ประกอบขึ้นจากสี แดง เขียว น้ำเงิน
และบางทีอาจใช้สีขาว สีเขียวแก่และสีเหลืองด้วย
วงล้อสีนี้จะหมุนอยู่ระหว่างหลอดภาพกับ DLP chip
เพื่อสร้างเป็นสีต่างๆส่งไปที่ chip กระจกเล็กๆบน chip
จะคอยสะท้อนแสงสีต่างไปที่เลนส์ทำไห้เกิดเป็นภาพขึ้นมา
เปรียบเทียบการทำงาน
ทั้งสองเทคโนโลยีได้ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา
ความแตกต่างของระบบทั้งสองลดน้อยลงมาก แต่สิ่งที่ยังพูดถึงกันบ่อยๆก็คือ
ข้อแรก LCD
นั้นให้ภาพที่สวยงามมีสีสันที่เป็นธรรมชาติมากกว่า DLP
ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจาก DLP chip เดียวถูกสร้างมาสำหรับตลาด
Presentation
สีขาวถูกเพิ่มเข้าไปในวงล้อสีทำให้ภาพสว่างขึ้นก็จริงแต่ก็ทำให้สีผิดเพี้ยน
ไปด้วย ภาพที่ได้จาก DLP
จึงไม่ค่อยอิ่มและสั่นซึ่งจะไม่ค่อยมีผลในการแสดงข้อมูลแต่เป็นสิ่งที่ต้อง
คำนึงถึงเป็นพิเศษถ้าจะใช้โปรเจคเตอร์สำหรับสัญญาณภาพที่มีลายละเอียดมาก
และเพื่อชดเชยข้อบกพร่องในเรื่องสีที่ไม่เป็นธรรมชาติและเพื่อปรับปรุงการ
แสดงสีให้ถูกต้องโปรเจคเตอร์ที่ถูกผลิตมาสำหรับ Home Theater
และระบบวีดีโอคุณภาพสูงจะใช้วงล้อสีที่มีหกสี (Six-Segment)
ซึ่งประกอบด้วยสี แดง เขียว น้ำเงิน สองชุดโดยได้ตัดสีขาวออกไป
บางวงล้ออาจมีถึงเจ็ดหรือแปดสี
ด้วยวงล้อสีนี้ช่วยเพิ่มความถูกต้องให้กับการแสดงสี
ข้อสองความแตกต่างอีกอย่างที่เห็นได้ชัดคือความคมชัดในการแสดง
ข้อมูล LCD สามารถให้ภาพได้คมชัดกว่า DLP ในทุกๆ Resolution
สังเกตได้จากการฉายภาพที่มีลายละเอียดของข้อมูลที่เป็นลายเส้น
อย่างไรก็ดีไม่มีความแตกต่างที่มองเห็นได้ชัดในการแสดงภาพวีดีโอ
ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า DLP จะแสดงภาพที่เป็นข้อมูลและลายเส้นไม่ได้เรื่อง
DLP สามารถแสดงผลออกมาได้ชัดดีทีเดียวเพียงแต่เมื่อนำ DLP และ LCD ที่มี
Resolution เท่ากันมาวางฉายคู่กัน จากการเปรียบเทียบแล้วดูเหมือนว่า LCD
จะให้ความคมชัดมากกว่า
ข้อสาม LCD
นั้นมีประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างที่ดี LCD สามารถผลิตแสงที่มีค่า ANSI
Lumens ได้มากกว่า DLP ด้วยหลอดภาพที่กำลังไฟฟ้า (Watt lamp) เท่าๆกัน
มีโปรเจคเตอร์จำนวนมากที่ถูกผลิตออกมาด้วยค่า 3000 – 6000 Lumens
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโปรเจคเตอร์ในระบบ LCD LCD
จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเมื่อต้องการความสว่างมากๆ
LCD โปรเจคเตอร์มีข้อด้อยอยู่สามข้อซึ่งจะเกี่ยวกับการแสดงภาพมากกว่าในเรื่องการแสดงข้อมูล
ข้อแรกก็คือสามารถมองเห็นความไม่
ต่อเนื่องของ Pixel ได้ง่ายบนจอภาพ
ข้อสองภาพที่ปรากฏบนจอภาพจะมีลักษณะเป็นตารางซึ่งเป็นผลมาจากมีช่องว่าง
ระหว่าง Pixel มาก ข้อที่สามมีค่า Contrast ต่ำ ที่ผ่านมา LCD
โปรเจคเตอร์ไม่เป็นที่พอใจนักในหมู่ผู้ที่ชอบชมภาพยนตร์เนื่องมาจากเหตุผล
เหล่านี้ อย่างไรก็ตามใน LCD
โปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ๆจะพบว่าปัญหาเหล่านี้ได้ถูกลดน้อยลง ช่องว่างระหว่าง
Pixel ถูกทำให้ลดลงและเพิ่มจำนวน Pixel ให้มากขึ้น
เมื่อฉายภาพด้วยระยะที่เหมาะสมข้อเสียต่างๆเหล่านี้จะไม่ปรากฏให้เห็นเลย
DLP เทคโนโลยีนั้นสร้าง Pixel
ด้วยกระจกเงาเล็กๆจึงให้ภาพที่นุ่มนวลและมี Pixel ที่ชิดกันมากกว่า LCD
ดังนั้นไม่ว่าจะด้วย Resolution ใด DLP จะเหนือกว่า LCD ในเรื่องการแสดง
Pixel
ว่าด้วยเรื่อง Contrast ระบบ LCD
นั้นยังล้าหลังและเป็นรอง DLP
ในเรื่องนี้แต่ทั้งสองเทคโนโลยีก็ยังมีการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่องเมื่อก่อน
LCD โปรเจคเตอร์นั้นมีค่า Contrast ที่ 400:1 ซึ่งต่ำกว่า DLP
อยู่เกือบเท่าตัว ปัจจุบันนี้ทั้งสองเทคโนโลยีได้เพิ่มค่า Contrast
จนสูงขึ้นมาก DLP โปรเจคเตอร์ส่วนมากมีค่า Contrast อย่างต่ำอยู่ที่ 2000
:1 และสำหรับรุ่นพิเศษสำหรับ Home Theater มีค่า Contrast ถึง 5000:1
ส่วนทาง LCD ก็ได้เพิ่มค่า Contrast ให้มากขึ้นเช่นเดียวกัน LCD
โปรเจคเตอร์มีค่า Contrast ที่ 1000:1 ขึ้นไปบางรุ่นมีค่า Contrast สูงถึง
6000:1ทีเดียว
เรื่องของน้ำหนัก
ซึ่งก็จะเกี่ยวข้องกับความสะดวกในการเคลื่อนย้ายนั่นเอง เนื่องจาก DLP
ใช้ระบบการทำงานด้วย chip ที่มีขนาดเล็กไม่เหมือนกับ LCD
ที่ต้องใช้แผ่นกระจก LCD ถึงสามแผ่น DLP
โปรเจคเตอร์จึงมีน้ำหนักที่เบากว่า
แต่ก็ไม่แน่เสมอไปทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีในการผลิตของแต่ละผู้
ผลิตโปรเจคเตอร์ด้วยเช่นกัน
DLP กับปัญหา Rainbow Effect
เมื่อมีการพูดถึงข้อด้อยของ DLP
ที่เกิดมาจากการใช้วงล้อสีในการสร้างภาพเป็นไปได้ว่าการทำงานลักษณะนี้ทำให้
เกิด “ Rainbow Effect ”
เนื่องจากขณะที่วงล้อสีถูกทำให้หมุนเพื่อทำให้เกิดภาพอย่างต่อเนื่องอย่าง
รวดเร็วนั้น ตาของเรามีความไวพอที่จะจับความเปลี่ยนแปลงได้ทัน
ทำให้เราเห็นแสงลักษณะเหมือนสีรุ้งสะท้อนออกมาจากภาพ
แต่ก็มีบางคนเท่านั้นที่จะเห็นความผิดปรกตินี้ได้ ส่วน LCD
โปรเจคเตอร์นั้นมีวิธีการสร้างภาพด้วยสีที่แน่นอนโดยการสร้างสีจากสี แดง
เขียว น้ำเงิน ไปออกเป็นภาพในช่วงเวลาเดียวกับ ผู้ที่ชมภาพจาก LCD
โปรเจคเตอร์จึงไม่เห็นความผิดปรกตินี้เลย
Texas Instruments
ได้ทำการวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า แต่เดิมในยุคแรกของการผลิตนั้น
DLP โปรเจคเตอร์ถูกผลิตขึ้นโดยมีการใช้วงล้อสีซึ่งหมุนด้วยความเร็ว 60
รอบต่อวินาที (60 Hz) ซึ่งจะเท่ากับ 3600 รอบต่อนาทีโดยเรียกว่า 1x
ในระหว่างได้มีการออกวางจำหน่าย DLP
โปรเจคเตอร์ในช่วงแรกนี้ก็ได้มีผู้พบเห็นความผิดปรกตินี้บ้างแล้ว
ต่อมาในยุคที่สองวงล้อสีได้ถูกพัฒนาความเร็วขึ้นเป็น 2x ซึ่งจะเท่ากับ 120
Hz คือวงล้อสีจะหมุน 7200 รอบต่อนาที
การเพิ่มความเร็วขึ้นเป็นสองเท่านี้ทำให้คนส่วนใหญ่เห็นความผิดปรกติของภาพ
น้อยลง
ปัจจุบันนี้ Home Theater DLP
โปรเจคเตอร์ถูกผลิตขึ้นโดยมีวงล้อสีที่มีถึงหกสี (Six-Segment) ซึ่งมีสี
แดง เขียว น้ำเงิน สองชุด วงล้อสีนี้หมุน 120 Hz ซึ่งเท่ากับ 7200
รอบต่อนาที
และเนื่องจากสีที่เพิ่มเป็นสองชุดในหนึ่งรอบนี้เองจึงถูกเรียกว่ามีความเร็ว
เท่ากับ 4x ทั้งๆที่ความเร็วรอบยังเท่าเดิม
เหตุผลใหญ่ที่ต้องใช้วงล้อที่มีหกสีและความเร็วรอบที่ 4x ก็เพื่อแก้ปัญหา “
Rainbow Effect ” นั่นเอง
LCD
โปรเจคเตอร์แสดงภาพที่ซีดและจางลงเรื่อยๆเมื่อใช้งานไปสักระยะเวลาหนึ่งโดย
เฉพาะกับแผ่น LCD สีน้ำเงิน ซึ่งก็มีผลในการจัด Balance
ของสีทำให้ภาพมีสีผิดเพี้ยนไปและค่า Contrast ก็ตกลงด้วย
แต่ก็ไม่ต้องตกใจกลัวจนไม่กล้าใช้ LCD
เนื่องจากการจะเกิดกรณีเช่นนี้ได้คงต้องใช้เวลานานพอสมควรซึ่งอาจจะต้องใช้
เวลาเป็นปีๆทีเดียว
ทั้ง DLP และ LCD
ต่างก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเพื่อความพึง
พอใจของผู้บริโภค
ผู้ผลิตโปรเจคเตอร์ต่างก็ได้ทำการแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองให้ดีขึ้นและปรับ
สิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ดีสำหรับสถานที่ที่ใหญ่มากต้องการโปรเจคเตอร์ที่มีความสว่างมาก
LCD โปรเจคเตอร์ยังเป็นผู้นำในด้านนี้อยู่ ในการใช้งานกับ Home Theater
DLP โปรเจคเตอร์ยังนำหน้าอยู่เสมอในเรื่อง สี Contrast
และคุณภาพของภาพซึ่งทำให้ผู้ที่ใช้ระบบ Home Theater ชื่นชอบอยู่เสมอ
แต่ทุกวันนี้ช่องว่างระหว่างการเป็นผู้นำและผู้ตามของทั้งสองเทคโนโลยีนั้น
ลดน้อยลงทุกที ทั้ง DLP และ LCD
ต่างก็มีความสามารถให้ภาพที่มีคุณภาพระดับสูงสำหรับ Home Theater
ได้อย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว
DLP หรือ LCD
เทคโนโลยีแบบใดจะดีกว่ากันนั้นคงจะต้องขึ้นอยู่กับบุคคลแต่ละคนซึ่งจะเป็น
ผู้เลือกว่าเทคโนโลยีแบบใดจะดีที่สุดสำหรับบุคคลนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น